Samsung ลุยศึก AR เต็มกำลัง! พัฒนาไมโครดิสเพลย์ขั้นสูง ป้อนแว่นตาอัจฉริยะของตัวเองและคู่แข่งเล็งผลิตเชิงพาณิชย์ปี พ.ศ. 2570 พร้อมจับตา Meta – Apple อาจกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่

Samsung ลุยศึก AR เต็มกำลัง! พัฒนาไมโครดิสเพลย์ขั้นสูง ป้อนแว่นตาอัจฉริยะของตัวเองและคู่แข่งเล็งผลิตเชิงพาณิชย์ปี พ.ศ. 2570 พร้อมจับตา Meta – Apple อาจกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่
Samsung เร่งพัฒนา LEDoS จอไมโครระดับสูงสำหรับแว่น AR พร้อมเตรียมเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ปี พ.ศ. 2569-2570
เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์สวมใส่ยุคใหม่ และเป็นหมากสำคัญในเกมแข่งขันกับ Meta และ Apple
Samsung เร่งเครื่องชิงตำแหน่งผู้นำในตลาดแว่นตา AR
Samsung Electronics กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีจอภาพขนาดจิ๋วระดับไมโครอย่าง LED on Silicon (LEDoS) เพื่อใช้ในชุดเฮดเซต AR รุ่นถัดไป โดยตั้งเป้าผลิตเชิงพาณิชย์ภายในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027) เพื่อรองรับแว่นอัจฉริยะรุ่นที่สองจากฝ่าย Mobile eXperience (MX)
LEDoS คือจอ micro-LED ที่ฝังบนเวเฟอร์ซิลิคอน ซึ่งให้ความละเอียดสูง ประหยัดพลังงาน และสว่างมากพอสำหรับการใช้งานกลางแจ้ง — คุณสมบัติที่เหมาะสมกับแว่น AR อย่างยิ่ง

เปิดศึกกับ Apple – Meta พร้อมเป็นทั้งคู่แข่งและซัพพลายเออร์
นอกจากผลิตแว่น AR ของตนเองแล้ว Samsung ยังเล็งเห็นโอกาสเป็นผู้ผลิตจอให้กับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Meta และ Apple ที่ต่างก็พัฒนาแว่นตา AR อย่างต่อเนื่อง โดยแหล่งข่าวระบุว่าแว่นต้นแบบ “Orion” ของ Meta ใช้เทคโนโลยี LEDoS อยู่แล้ว ขณะที่ Apple เองก็กำหนดเปิดตัวแว่น AR ในปีเดียวกัน
ทุ่มทรัพยากร ปั้นตลาดใหม่โตทะลุ 6.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 232,000 ล้านบาท)
Samsung ได้จัดตั้งทีมเฉพาะทางในธุรกิจ Compound Semiconductor Solutions (CSS) ภายใต้การนำของผู้เชี่ยวชาญ Yoon Seok-ho เพื่อโฟกัสกับการพัฒนา LEDoS และชี้ว่าแว่น AR จะเป็นตัวเร่งความต้องการเทคโนโลยีนี้ในอนาคต
ตลาด LEDoS คาดว่าจะเติบโตจาก 30 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,120 ล้านบาท) ในปี พ.ศ. 2566 ไปสู่ 6.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 232,000 ล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2575

จับมือ Google และ Qualcomm ปูทางสู่ตลาด XR มูลค่าล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ Samsung ยังร่วมมือกับ Google และ Qualcomm ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ XR ซึ่งรวมทั้ง VR และ AR โดยมูลค่าตลาด XR คาดว่าจะขยายตัวจาก 131.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท) ในปี พ.ศ. 2567 ไปถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 63 ล้านล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2575
ที่มา
kedglobal