หาก Vision Pro ลดขนาดลงครึ่งนึง ลดราคาลงครึ่งราคา อาจถึงเวลาทะยาน
1 min read
หาก Vision Pro ลดขนาดลงครึ่งนึง ลดราคาลงครึ่งราคา อาจถึงเวลาทะยาน
Apple ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับชุดเฮดเซตสแตนด์อโลนอย่าง Vision Pro แล้ว แต่สิ่งที่ขวางกั้นการปฏิวัติวงการ คือขนาดและราคา ถ้าวันหนึ่ง Vision Pro เล็กลงครึ่งหนึ่งและถูกลงครึ่งหนึ่ง โลกทั้งใบอาจไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
Apple ได้ตั้งมาตรฐานด้านประสบการณ์ใช้งาน (UX) สำหรับชุดเฮดเซตสแตนด์อโลนเอาไว้อย่างสูงลิ่วกับ Vision Pro แต่ถ้า Apple สามารถยัดเยียดประสบการณ์เดียวกันนี้ลงไปในแพ็กเกจที่ “เล็กลงครึ่งหนึ่ง และราคาถูกลงครึ่งหนึ่ง” ได้สำเร็จ ชุดเฮดเซตนี้จะกลายเป็นที่ต้องการในวงกว้างอย่างมหาศาล
Apple เรียก Vision Pro ว่า “เทคโนโลยีแห่งวันพรุ่งนี้ที่มีให้ใช้วันนี้” และในแง่ของประสบการณ์การใช้งาน ก็พูดได้ว่าเป็นเรื่องจริง Vision Pro ใช้งานได้ง่ายและเป็นธรรมชาติ ถึงแม้จะไม่ได้ทำได้ทุกอย่างเหมือนกับชุดเฮดเซตอย่าง Quest แต่สิ่งที่มันทำได้ ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม Vision Pro ยังคงมีปัญหาหลักอยู่สองเรื่อง คือ “ขนาด” และ “ราคา” — ทั้งใหญ่ ทั้งเทอะทะ และมีราคาสูงถึง 3,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 129,500 บาท) ซึ่งทำให้ผมยังไม่แนะนำให้คนส่วนใหญ่ซื้อ
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม Vision Pro ถึงถูกมองว่าเป็น “สินค้าล้มเหลว” ในสายตาหลายคน — แต่ในฐานะที่ผมใช้งานชุดเฮดเซตนี้ตั้งแต่วันเปิดตัว ผมมองเห็นชัดเจนว่ามันเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างไรบ้าง
การบอกว่า Vision Pro เป็นผลิตภัณฑ์แย่ ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่า Ferrari เป็นรถยนต์แย่เพราะขายได้น้อยกว่า Honda Accord
แม้จะไม่แน่ใจว่าการเปิดตัวรุ่นแรกตรงกับความคาดหวังยอดขายของ Apple หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือ Vision Pro มอบประสบการณ์ที่ทรงพลังมาก เพียงแต่มันถูก “กดทับ” ไว้ด้วยขนาดและราคา
ถ้า Apple สามารถยัดสเปก ความสามารถ และประสบการณ์การใช้งานเดิม ลงในเครื่องที่เล็กลงเหลือครึ่งหนึ่ง (น้ำหนักประมาณ 310 กรัม) และลดราคาลงเหลือประมาณ 1,750 ดอลลาร์ (ประมาณ 64,750 บาท) — Vision Pro จะทะยานอย่างรวดเร็วแน่นอน
แน่นอน การลดน้ำหนักและราคาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการคงแบตเตอรี่นอกตัวเครื่องไว้เหมือนเดิม แต่ตัวอย่างอย่าง Bigscreen Beyond ที่หนักเพียง 180 กรัม แสดงให้เห็นว่ามันมีทางเป็นไปได้ในการออกแบบชุดเฮดเซตที่บางเบากว่านี้มาก
ครึ่งราคา — แม้จะยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับคู่แข่ง — แต่ 1,750 ดอลลาร์ (ประมาณ 64,750 บาท) ก็เป็นตัวเลขที่เข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะถ้า Apple โฆษณามันในฐานะ “ทีวีที่ดีที่สุดที่คุณจะมีในบ้าน”
แม้มันจะดูเป็นตรรกะธรรมดาว่า “ของเล็กลง-ถูกลง = ดีขึ้น” สำหรับสินค้าเทคโนโลยีทุกประเภท แต่ในกรณี Vision Pro มันมีนัยยะพิเศษมากกว่านั้น
ชุดเฮดเซตอย่าง Quest ต่อให้ย่อขนาดและลดราคาลงก็คงยังติดขัดในเรื่อง UX อยู่ดี เพราะ UX พื้นฐานของ Quest ยังไม่ลื่นไหลนัก
ในทางตรงกันข้าม Vision Pro เหมือนกับ “เสือที่ถูกล่ามโซ่ไว้” — แค่ลดขนาดและราคา ก็เหมือนปลดโซ่ออก ประสบการณ์ใช้งานระดับเทพจะถูกปลดปล่อยเต็มที่
แน่นอน มันง่ายกว่าที่พูด เพราะหลายคนอาจโต้แย้งว่า เหตุผลที่ Vision Pro ดีมาก ก็เพราะมันมีฮาร์ดแวร์ที่แพงมหาศาล

แม้จะเป็นความจริงในบางจุด แต่ “ความเหนือกว่า” ของ Vision Pro ส่วนใหญ่เกิดจากการออกแบบซอฟต์แวร์ที่ล้ำหน้ามากกว่า เช่น แม้ Quest 3 จะมีความละเอียดหน้าจอ “สูงกว่า” Vision Pro ในทางเทคนิค แต่ Vision Pro กลับดูดีกว่ามาก เพราะซอฟต์แวร์ออกแบบมาให้จัดการภาพได้อย่างชาญฉลาด
และเมื่อผมพูดถึงการลดขนาดและราคา ผมยังไม่ได้รวมถึงการอัพเดทสำคัญ ๆ ที่ Apple น่าจะพัฒนาต่อไปในอนาคต เช่น การทำ passthrough ให้คมชัดขึ้น ลดอาการเบลอเวลาขยับเร็ว ๆ หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ไหลลื่นกว่าเดิม
Apple ได้สร้างมาตรฐานสูงสุดให้กับชุดเฮดเซตแล้ว
คำถามที่เหลืออยู่ตอนนี้คือ… ไม่ใช่ “ถ้า” แต่คือ “เมื่อไหร่” ที่ Apple จะทำให้ Vision Pro เล็กลง และราคาถูกลงอย่างที่ควรจะเป็นครับ