Meta เตรียมใส่ระบบสแกนใบหน้าลงแว่น AI จุดชนวนสงครามความเป็นส่วนตัวครั้งใหม่ “Super Sensing” อาจเปลี่ยนทุกพื้นที่สาธารณะให้กลายเป็นสนามล่าสแกนใบหน้า — โดยไม่ขออนุญาตคุณก่อน

Meta เตรียมใส่ระบบสแกนใบหน้าลงแว่น AI จุดชนวนสงครามความเป็นส่วนตัวครั้งใหม่ "Super Sensing" อาจเปลี่ยนทุกพื้นที่สาธารณะให้กลายเป็นสนามล่าสแกนใบหน้า — โดยไม่ขออนุญาตคุณก่อน
Meta กำลังพัฒนาฟีเจอร์จดจำใบหน้าสำหรับชุดเฮดเซตแว่นตาอัจฉริยะ AI รุ่นใหม่ ซึ่งอาจสแกนใบหน้าคุณได้แม้ไม่ได้รับความยินยอม จุดชนวนประเด็นร้อนด้านสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง ท่ามกลางแรงเสียดทานจากอดีตและกฎหมายที่อ่อนตัวลงหลังยุคทรัมป์ 2.0
ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นส่วนตัวและเทคโนโลยีเริ่มพร่าเลือน Meta กำลังเดินหน้าโครงการใหม่ที่อาจเปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็น สนามสแกนใบหน้าไร้การยินยอม

The Information รายงานว่า Meta กำลังพัฒนาเทคโนโลยี “Super Sensing” สำหรับ ชุดเฮดเซตแว่นตาอัจฉริยะ AI รุ่นใหม่ ที่จะสามารถสแกนใบหน้าคนรอบข้างและระบุตัวตนได้โดยตรง ผ่านการทำงานร่วมกับฟีเจอร์ Live AI ที่มีอยู่แล้วใน Ray-Ban Meta AI Glasses รุ่นปัจจุบัน
เดิมที Meta เคยพิจารณาใส่ฟังก์ชันนี้ตั้งแต่แว่นรุ่นแรก แต่ถอนตัวกลางคันด้วยเหตุผลไม่เปิดเผย ทว่าตอนนี้ ทิศทางเปลี่ยนไปแล้ว โดยคาดว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะถูกบรรจุในอุปกรณ์ที่ออกสู่ตลาดราวปี พ.ศ. 2569 และอาจใช้ได้ต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
ที่น่ากังวลคือ แม้ผู้ใช้แว่นจะต้อง เลือกเปิดใช้งานเอง (opt-in) แต่ บุคคลที่ถูกสแกน จะ ไม่สามารถปฏิเสธได้ และที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ Meta กำลัง พิจารณายกเลิกไฟแจ้งเตือน (LED indicator) ระหว่างที่ใช้งานโหมด Super Sensing หมายความว่าคุณอาจถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

ความเสี่ยงที่ Meta เคยเจอมาก่อน
Meta ไม่ใช่หน้าใหม่ในโลกแห่งการเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว บริษัทเคยถูกฟ้องร้องหลายครั้งในอดีตเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเฉพาะกรณีที่รัฐเท็กซัสฟ้องร้อง Meta ข้อหาเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของผู้ใช้หลายล้านคนอย่างผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีกรณีของบริษัท Clearview AI ที่พยายามสร้างฐานข้อมูลใบหน้าขนาดมหึมาจากภาพถ่ายออนไลน์ทั่วโลก จนถูกต่อต้านจากหลายประเทศเนื่องจากการเก็บข้อมูลโดยไม่มีการยินยอมอย่างชัดเจน ซึ่งกรณีเหล่านี้สะท้อนถึงความอ่อนไหวร้ายแรงต่อเทคโนโลยีลักษณะนี้
บริบทใหม่หลัง Trump 2.0
รายงานชี้ว่าการกลับมาของ รัฐบาลทรัมป์ 2.0 และแนวทางใหม่ของ คณะกรรมการการค้าสหรัฐฯ (FTC) ที่ประกาศใช้นโยบาย “การบังคับตามความเสี่ยงแบบยืดหยุ่น” ทำให้บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Meta กล้าเดินหน้าฟีเจอร์เสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวได้มากขึ้น
อีกทั้งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 Meta ยังได้ อัพเดท นโยบายการเก็บข้อมูลของชุดเฮดเซตแว่นตาอัจฉริยะใหม่ โดยเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI ตั้งแต่เริ่มต้น และ บังคับเก็บข้อมูลเสียง เพื่อใช้ในการฝึกสอนโมเดล AI โดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถเลือกปฏิเสธได้อีกต่อไป
สรุป
แม้การสวมแว่น AI ที่ช่วยสแกนและจำทุกคนรอบตัวให้เหมือนมี “ซูเปอร์ฮิวแมนเมมโมรี่” ฟังดูน่าสนุก แต่ในมุมกลับ มันกำลังนำเราเข้าสู่โลกที่ ทุกการเคลื่อนไหวและตัวตนของคุณ อาจถูกบันทึกโดยไม่รู้ตัว — โลกที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นเพียงอดีต
ที่มา
gadgets360
engadget
techtimes