มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เชื่อว่าแว่น AI คืออาวุธใหม่ของสมองในโลกอนาคต Meta ลดความสำคัญของ VR หันลงทุนเต็มตัวในแว่นอัจฉริยะ หลัง Reality Labs ขาดทุนยับ
1 min read
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เชื่อว่าแว่น AI คืออาวุธใหม่ของสมองในโลกอนาคต Meta ลดความสำคัญของ VR หันลงทุนเต็มตัวในแว่นอัจฉริยะ หลัง Reality Labs ขาดทุนยับ
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก มั่นใจ! (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta ใครไม่มีแว่น AI ในอนาคตจะเสียเปรียบด้านความคิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกัน Meta ก็เริ่มพักเรื่อง VR และ Metaverse ลง เพราะไม่ทำเงิน พร้อมหันหัวเรือเต็มที่สู่โลกของ AI Glasses ที่กำลังขายดีเกินคาด
🧠 วิสัยทัศน์ใหม่ของซักเคอร์เบิร์ก: แว่น AI จะเปลี่ยนโลก
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta แสดงวิสัยทัศน์ว่าแว่นตาอัจฉริยะ (AI Glasses) จะกลายเป็นอุปกรณ์หลักในการเชื่อมต่อกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในชีวิตประจำวัน โดยเชื่อว่าแว่นเหล่านี้จะช่วยเสริม “Personal Superintelligence” ให้กับผู้ใช้ได้จริง
“ถ้าในอนาคตคุณไม่มีแว่นที่มี AI หรือช่องทางสื่อสารกับ AI เลย คุณน่าจะเสียเปรียบทางความคิดเมื่อเทียบกับคนอื่น” — Zuckerberg กล่าว
แว่น AI จะช่วยให้ AI มองเห็นสิ่งที่เราเห็น ฟังในสิ่งที่เราได้ยิน และโต้ตอบกับเราได้ตลอดทั้งวัน พร้อมเสริมว่าแว่นตาจะเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในการผสานโลกดิจิทัลกับโลกจริง
🎧 ความสำเร็จของ Ray-Ban Meta และก้าวแรกสู่ AI Glasses
Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นแว่นอัจฉริยะรุ่นแรกของ Meta ได้รับความนิยมเกินคาด โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และผู้ใช้งานรายเดือนเพิ่มขึ้น 4 เท่า ภายในปีเดียว
แว่นตารุ่นนี้สามารถฟังเพลง, ถ่ายรูป/วิดีโอ, และพูดคุยกับ Meta AI ได้แบบเรียลไทม์ ผ่านดีไซน์ที่ดูเหมือนแว่นกันแดดทั่วไป แต่ฝังเทคโนโลยีล้ำยุคไว้ภายใน
💸 ทำไม Meta ถึงพักเรื่อง VR และ Metaverse ไว้ก่อน?
ในขณะที่แว่น AI ขายดี Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้าน VR และ Metaverse กลับขาดทุนอย่างต่อเนื่อง:
- ขาดทุนรวม กว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) ในรอบ 5 ปี
- เฉพาะไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2568 ขาดทุนไปถึง 4,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 150,000 ล้านบาท) ขณะที่รายได้มีเพียง 412 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ยอดขาย Meta Quest ก็ลดลง โดยเฉพาะรุ่น Quest 3 ที่ราคาสูงและไม่มี Killer App ที่ดึงดูดตลาดวงกว้าง
ในปี พ.ศ. 2566–2567 ยอดขายแว่น VR และ AR ลดลงเกือบ 40% ในสหรัฐฯ สะท้อนถึงภาวะตลาดที่ยังคง “เฉพาะกลุ่ม” และไม่สามารถขยายสู่ผู้ใช้งานทั่วไปได้
🔄 จุดเปลี่ยนสู่ AI เต็มตัว
- คำว่า “Metaverse” หายไป จากงานแถลงผลประกอบการของ Meta ในไตรมาสล่าสุด
- ซักเคอร์เบิร์กเน้นย้ำถึง AI และ AI Devices เช่น Ray-Ban Meta แทน
- Meta ยังเปิดตัวโครงการ Superintelligence Labs เพื่อพัฒนา AI ที่เข้าใจผู้ใช้ในระดับลึกมากขึ้น
แว่น AI จะเป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับ AI ซึ่งอาจเข้ามาเสริมบทบาทในการทำงาน การเรียนรู้ การแปลภาษา การแนะนำแบบเรียลไทม์ และการเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบใหม่
🕶 ตัวอย่างแว่น AI อื่น ๆ ในตลาด
- Halliday (เปิดตัวที่ CES 2025) มีจอแสดงผล DigiWindow พร้อม Proactive AI
- Envision Glasses ช่วยผู้พิการทางสายตาด้วยระบบอ่านข้อความและจำแนกวัตถุ
- Auctify Specs ช่วยเพิ่มสมาธิโดยตรวจจับการมองของผู้ใช้
❌ VR ยังไม่ตาย แต่ “ต้องพักก่อน”
Meta Quest ยังอยู่ แต่ไม่ใช่ศูนย์กลางของ Meta อีกต่อไปในตอนนี้ เพราะ:
- VR ยังไม่มีฐานผู้ใช้กว้าง
- ขาดแอพที่ “คนทั่วไปต้องใช้”
- กราฟิกของ Horizon Worlds ยังถูกวิจารณ์ว่าด้อยคุณภาพ
- การแข่งขันจาก Apple Vision Pro ทำให้ Meta ต้องลดราคาและออก Quest 3S/3 Lite เพื่อรักษาตลาดระดับเริ่มต้น
แม้จะมีการพัฒนา Quest ต่อไป แต่ Meta ต้องรอให้ตลาดพร้อมมากกว่านี้ และอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะเริ่มเห็นผลจากการลงทุนใน Metaverse
🔮 สรุป: ยุคใหม่ของ Meta เริ่มต้นที่ “แว่น”
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หันหัวเรือของ Meta จาก Metaverse สู่ AI เต็มรูปแบบ พร้อมชี้ว่า แว่น AI จะกลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเหมือนสมาร์ตโฟนในอดีต
ขณะที่ Meta Quest และโลก VR ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน แต่แว่นอย่าง Ray-Ban Meta กำลังแสดงให้เห็นว่า “อนาคตแห่ง AI” เริ่มขึ้นแล้วบนใบหน้าของเรา